โดยปกติแล้ว เมื่อเราต้องการข้อมูลใหม่ ๆ หรือ insight เกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมายลูกค้า ผู้อ่านที่เป็นนักการตลาด หรือเจ้าของธุรกิจ ก็จะใช้บริการการวิจัยที่สามารถเก็บข้อมูลตามจุดประสงค์ เช่นการทำ survey ความพึงพอใจของลูกค้า ไม่ว่าจะผ่านทางช่องทางออนไลน์หรือการทำ focus group

ในปัจจุบัน ถึงแม้ว่าการทำวิจัยด้วยการเก็บข้อมูลใหม่จะยังมีคุณค่า แต่เนื่องด้วยการเข้ามาของการใช้ช่องทางออนไลน์ในการสื่อสาร ซื้อ-ขายสินค้า มากขึ้น รวมถึงการใช้ social Media และ search engine ในการทำการตลาด การใช้ข้อมูลที่มีอยู่แล้วนี้ สามารถลดต้นทุนในการจ้างการเก็บข้อมูลแบบสอบถาม เช่น survey ไปได้ถึง 67% (อ้างอิงจาก Bloomberg)

การเก็บข้อมูลแบบที่ใช้แบบสอบถามอาจเกิดความผิดพลาดอย่างไรได้บ้าง

การจ้างเก็บข้อมูลแบบเดิมมักมีข้อจำกัดและความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ง่าย ส่งผลให้ได้ข้อมูลที่ไม่ตรงกับความต้องการและมีความน่าเชื่อถือ (validity) และความสม่ำเสมอ (reliability) ต่ำ ดังนี้

ความผิดพลาดจากการสุ่มตัวอย่าง (Sampling Error): การเลือกกลุ่มตัวอย่างที่ไม่เหมาะสมหรือไม่เป็นตัวแทนที่ดีของประชากรเป้าหมายอาจทำให้ผลการวิจัยเบี่ยงเบนและไม่สามารถสะท้อนความเป็นจริงของตลาดได้

ความลำเอียงของผู้ตอบ (Respondent Bias): ผู้ตอบแบบสอบถามอาจให้ข้อมูลที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นเพราะต้องการให้ภาพลักษณ์ที่ดีกว่าความเป็นจริง หรือไม่เข้าใจคำถาม ส่งผลให้ข้อมูลที่ได้รับมีความน่าเชื่อถือต่ำ

ความลำเอียงของผู้สัมภาษณ์ (Interviewer Bias): ผู้สัมภาษณ์อาจมีอิทธิพลต่อการตอบของผู้ถูกสัมภาษณ์ ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม เช่น การใช้น้ำเสียงหรือการตั้งคำถามที่ชี้นำ ทำให้ได้ข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือ

ข้อจำกัดของเครื่องมือวิจัย (Limitations of Research Instruments): แบบสอบถามหรือเครื่องมือวิจัยที่ไม่ได้รับการออกแบบมาอย่างดีอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดหรือไม่สามารถวัดในสิ่งที่ต้องการได้อย่างแม่นยำ ส่งผลให้ความน่าเชื่อถือและความสม่ำเสมอของข้อมูลลดลง

ความผิดพลาดในการเก็บข้อมูล (Data Collection Errors): ความผิดพลาดในกระบวนการเก็บข้อมูล เช่น การบันทึกข้อมูลผิด การลืมถามคำถามบางข้อ หรือการเข้าใจคำตอบของผู้ตอบผิด อาจนำไปสู่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องและไม่น่าเชื่อถือ

ข้อจำกัดด้านเวลาและงบประมาณ (Time and Budget Constraints): การจ้างเก็บข้อมูลแบบเดิมมักต้องใช้เวลาและงบประมาณจำนวนมาก ทำให้นักวิจัยอาจต้องประนีประนอมในเรื่องของขนาดกลุ่มตัวอย่างหรือระยะเวลาในการเก็บข้อมูล ส่งผลให้ความน่าเชื่อถือและความสม่ำเสมอของข้อมูลลดลง

ด้วยข้อจำกัดและความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นเหล่านี้ การจ้างเก็บข้อมูลแบบเดิมจึงมีความเสี่ยงที่จะได้ข้อมูลที่ไม่ตรงกับความต้องการและมีความน่าเชื่อถือต่ำ ดังนั้น การใช้ข้อมูลที่มีอยู่แล้วและวิธีการวิจัยทางเลือกอื่นๆ จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักวิจัยการตลาดที่ต้องการลดความเสี่ยงและเพิ่มคุณภาพของข้อมูล ในขณะที่ยังสามารถประหยัดเวลาและงบประมาณได้อีกด้วย


บทความนี้ แมวจึงมาเล่าให้ฟังถึง..

ช่องทางในการได้มาซึ่งข้อมูลอื่น ๆ เพื่อการลดค่าใช้จ่ายในการทำวิจัยการตลาดด้วยข้อมูลที่มีอยู่แล้วเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการเก็บข้อมูลใหม่ค่ะ

ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจมีความเข้มข้นมากขึ้น การทำวิจัยการตลาดเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจเข้าใจความต้องการของลูกค้าและสามารถปรับกลยุทธ์ให้ตอบสนองต่อความต้องการนั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม การทำวิจัยการตลาดสามารถมีค่าใช้จ่ายสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากต้องมีการเก็บข้อมูลใหม่ ดังนั้น การใช้ข้อมูลที่มีอยู่แล้วอย่างชาญฉลาดจึงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดค่าใช้จ่ายในการทำวิจัยการตลาด

  1. ใช้ข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Data)
    ข้อมูลทุติยภูมิเป็นข้อมูลที่มีอยู่แล้วและถูกรวบรวมไว้เพื่อวัตถุประสงค์อื่น เช่น รายงานอุตสาหกรรม บทความวิจัย หรือข้อมูลจากหน่วยงานราชการ การใช้ข้อมูลเหล่านี้สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีค่าเกี่ยวกับตลาด แนวโน้ม และพฤติกรรมของผู้บริโภคโดยไม่จำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเก็บข้อมูลใหม่ นักวิจัยการตลาดสามารถเข้าถึงข้อมูลทุติยภูมิได้จากแหล่งข้อมูลออนไลน์ เช่น Google Scholar, สำนักงานสถิติแห่งชาติ หรือสมาคมอุตสาหกรรมต่างๆ
  2. วิเคราะห์ข้อมูลภายใน (Internal Data Analysis)
    ธุรกิจส่วนใหญ่มีข้อมูลมากมายที่เก็บรวบรวมจากการดำเนินงานประจำวัน เช่น ข้อมูลการขาย ข้อมูลลูกค้า และข้อมูลเว็บไซต์ การวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้า รวมถึงประสิทธิภาพของกลยุทธ์การตลาดปัจจุบัน เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล เช่น Google Analytics สามารถช่วยให้ธุรกิจเข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้บนเว็บไซต์ ในขณะที่ซอฟต์แวร์ CRM สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับปฏิสัมพันธ์ของลูกค้าและประวัติการซื้อ
  3. ทำการวิจัยออนไลน์ (Online Research)
    อินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งข้อมูลที่มีค่าสำหรับการวิจัยการตลาด เนื่องจากผู้บริโภคจำนวนมากใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และบริการ การตรวจสอบการสนทนาบนโซเชียลมีเดีย กระดานสนทนา และเว็บไซต์รีวิว สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการรับรู้ของแบรนด์ ความพึงพอใจของลูกค้า และพฤติกรรมของคู่แข่ง นอกจากนี้ เครื่องมือวิจัยตลาดออนไลน์ เช่น Google Trends ยังสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับความนิยมของคำค้นหาและแนวโน้มที่เกิดขึ้น
  4. ทำการทดสอบ A/B (A/B Testing)
    การทดสอบ A/B เป็นวิธีการทดสอบประสิทธิภาพของสองตัวแปรในสภาพแวดล้อมที่ควบคุม เช่น การเปรียบเทียบประสิทธิภาพของหน้าเว็บเพจสองแบบที่แตกต่างกัน วิธีนี้เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหาทางการตลาด ดีไซน์เว็บไซต์ และข้อความโฆษณา ซึ่งให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสิ่งที่ใช้ได้ผลดีกับกลุ่มเป้าหมาย โดยไม่จำเป็นต้องทำการวิจัยการตลาดอย่างกว้างขวาง
  5. ใช้เทคนิค Crowdsourcing
    Crowdsourcing เป็นการระดมความคิดจากกลุ่มคนจำนวนมากเพื่อรวบรวมข้อมูลและข้อเสนอแนะ ซึ่งสามารถทำได้ผ่านโซเชียลมีเดีย ชุมชนออนไลน์ และแพลตฟอร์มอื่นๆ เช่น Reddit หรือ Quora การขอความคิดเห็นและข้อเสนอแนะโดยตรงจากลูกค้าและผู้ที่สนใจสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีค่าโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการทำวิจัยการตลาดอย่างเป็นทางการ

แมวสรุปนะคะ

  1. ใช้ข้อมูลทุติยภูมิจากแหล่งข้อมูลออนไลน์และรายงานอุตสาหกรรมต่างๆ
  2. วิเคราะห์ข้อมูลภายในองค์กร เช่น ข้อมูลการขาย ข้อมูลลูกค้า และข้อมูลเว็บไซต์
  3. ทำการวิจัยตลาดออนไลน์โดยตรวจสอบการสนทนาบนโซเชียลมีเดีย กระดานสนทนา และเว็บไซต์รีวิว
  4. ใช้การทดสอบ A/B เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหาทางการตลาด ดีไซน์เว็บไซต์ และข้อความโฆษณา
  5. ใช้เทคนิค Crowdsourcing ผ่านโซเชียลมีเดียและแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ เพื่อรวบรวมข้อมูลและข้อเสนอแนะจากกลุ่มคนจำนวนมาก

การใช้ข้อมูลที่มีอยู่แล้วและเทคนิคการวิจัยทางเลือกเหล่านี้สามารถช่วยให้นักวิจัยการตลาดลดค่าใช้จ่ายในการเก็บข้อมูลใหม่ ในขณะที่ยังให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีค่าเกี่ยวกับตลาดและพฤติกรรมของผู้บริโภค ด้วยการวางแผนและดำเนินการอย่างระมัดระวัง ธุรกิจสามารถดำเนินการวิจัยการตลาดที่มีประสิทธิภาพโดยไม่สูญเสียงบประมาณจำนวนมาก


Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *